วันพุธที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑

รัฐาน ไทยใหญ่

รัฐฉาน


เมืองหลวง: ตองยี

ประชากร :ประชากรมีประมาณ 8 ล้านคนเศษ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็น 16 กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทยใหญ่ รองลงมาเป็น ชนชาติปะหล่อง หรือ ตอาง ชนชาติปะโอ ชนชาติว้า ชนชาติคะฉิ่น ชนชาติทน ชนชาติอางซา ชนชาติลาหู่ หรือ มูเซอ ชนชาติอาข่า หรืออีก้อ ชนชาติโกก้าง ชนชาติปะต่องหรือคะยา ชนชาติลีซอ ชนชาติยางดำ ยางลาย และยางแดง ชนชาติต่องเลอ ชนชาติ

ภูมิประเทศ : อาณาเขตรวมทั้งหมด 62,500 ตารางไมล์ ด้านทิศเหนือติดกับรัฐคะฉิ่น ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับประเทศจีน เขตเมืองยูนนาน ด้านตะวันออก ติดกับประเทศลาว ด้านตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับประเทศไทย ด้านทิศใต้ ติดกับรัฐคะยา ด้านทิศตะวันตก ติดกับเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองสะแกง (ประเทศพม่า) รัฐฉานมีพื้นที่ที่กว้างขวางในทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าและมีชายแดนติดกับประเทศจันและไทย มีแม่น้ำสาละวินไหลผ่านเป็นตามแนวยาวของรัฐจากชายแดนทางตอนเหนือที่ติดกับจีนและลงมายังที่ราบสูงของรัฐฉานไปยังรัฐคะยา รัฐฉานประกอบไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีค่ามากมาย ทั้งทรัพยากรป่าไม้และทรัยากรแร่ธาตุ อาทิ ป่าไม้สัก, ไม้ตึง และไม้เปา แร่เงิน, แร่ตะกั่ว, แร่ทองคำ, แร่ทองแดง, แร่เหล็ก, แร่วุลแฟรม, แร่ดีบุก, แร่ทังสเตน, แร่แมงกานีส เป็นต้น


ประวัติศาสตร์ :
ในอดีต ดินแดนรัฐฉานเคยมีเอกราชในการปกครองตนเองมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่อังกฤษจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง บริเวณที่เรียกว่าประเทศพม่าในปัจจุบันนั้นไม่เคยเรียกว่าประเทศพม่ามาก่อน มีเพียงชื่อเรียกตามชื่อของเมืองหลวงของแต่ละยุคเท่านั้น อาทิเช่น ในยุคที่เมืองหงสาวดีเป็นเมืองหลวงก็เรียกชื่อว่า "กรุงหงสาวดี" พอมาถึงยุคที่มีเมืองอังวะเป็นเมืองหลวงก็เรียกว่า "กรุงอังวะ" ไม่เคยมีคำเรียกชื่อประเทศตามชื่อของชนชาติมาสักครั้งเดียว จนกระทั่งปี ค.ศ.1826 อังกฤษได้บุกเข้ายึดเอาเมืองติดทะเลซึ่งได้แก่ ตะนาวศรี, ยะไข่, อสัม, ปนิปุระ และได้ประกาศว่า "ได้ทำการยึดประเทศพม่าได้แล้ว" ด้วยเหตุนี้ชื่อ "ประเทศพม่า" จึงถูกใช้เรียกขานกันมาตั้งแต่บัดนั้น ต่อมา เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1885 อังกฤษได้ทำการจับกุมและยึดอำนาจกษัตริย์พม่า และในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1886 อังกฤษได้ประกาศว่า “สามารถยึดประเทศพม่าได้ทั้งหมดแล้ว” ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีคนของอังกฤษเข้ามาในเมืองไตยเลยสักคนเดียว อังกฤษเริ่มเดินทางมาถึง เมืองไตยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1887 และขยายอาณาเขตไปยังเมืองเชียงตุง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไตยในปี ค.ศ.1890 และเพิ่งประกาศว่า "อังกฤษได้ยึดเอาเมืองไตยเป็นเมืองขึ้นเรียบร้อยแล้ว" เนื่องจากประเทศพม่าซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่ม และเมืองไตยซึ่งตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาไม่ใช่ประเทศเดียวกัน อังกฤษจึงไม่ได้ทำการเข้ายึด พร้อมกัน และถึงแม้อังกฤษจะยึดทั้ง 2 เมืองเป็นเมืองขึ้นของต้น แต่อังกฤษก็ไม่ได้ปกครองทั้งสองเมืองในลักษณะเดียวกัน หากแบ่งการปกครอง ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ประเทศพม่าเป็นเมืองใต้อาณานิคม (COLONY) ส่วนเมืองไตยเป็นเมืองใต้การอารักขา( Protative Country ) นอกจากนี้ อังกฤษยังได้ทำการจับกุมกษัตริย์พม่าและกำจัดราชวงศ์ทั้งหมดของกษัตรย์พม่าทิ้ง ส่วนเมืองไตยนั้น อังกฤษไม่ได้ทำลาย ราชวงศ์เจ้าฟ้า แต่ยังสนับสนุนให้เจ้าฟ้าแต่ละเมืองมีอำนาจปกครองบ้านเมืองของตนเอง โดยอังกฤษทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการ ปกครองบ้านเมือง ในสมัยที่อังกฤษเริ่มให้เจ้าฟ้าปกครองกันเองนั้น เมืองไตยมีทั้งหมด 44 เมือง และต่อมาได้ลดเหลือ 33 เมือง อังกฤษได้ทำการ ปกครองเมืองทั้งหมดด้วยระบบเดียวกัน และสถาปนาให้เมืองทั้งหมดเป็นสหพันธรัฐฉาน (Federal Shan State) หรือ เมืองไตย (ข้อมูลจาก www.muangtai.com)

เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาปางโหลง (Panglong Agreement) เมื่อปี ค.ศ. 1947 กับชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อขอเอกราชจากอังกฤษ โดยสัญญาดังกล่าวได้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญซึ่งระบุให้ชนชาติที่ร่วมลงนามในสัญญาสามารถแยกตัวเป็นอิสระได้หลังจากอยู่ร่วมกันครบสิบปี แต่เนื่องจากรัฐบาลกลางพม่าไม่ยอมทำตามสัญญา ชาวไทยใหญ่จึงก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติของตนเองขึ้นในปี ค.ศ. 1948


สภาพเศรษฐกิจและสังคม : ป่าไม้ที่เป็นสินค้าออกจากประเทศที่สำคัญคือ ไม้สัก, ไม้สน, ไม้ตึง, ไม้เปา, ไม้แงะ. ไม้ตีต๊อก, ไม้จาน, และไม้หอมทุกชนิด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบ่งออกเป็นทำนา ทำไร่ ทำสวน ส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณดอยสูง ส่วนใหญ่ทำไร่บริเวณเนินเขา เป็นระบบไร่หมุนเวียน เมื่อครบ 3 ปีจึงเวียนไปทำที่อื่นและย้อนกลับมาใหม่หลังจากดินได้รับการฟื้นฟู ส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง(นำไปใช้ทำถั่วเน่า ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวไทยใหญ่), งา,นุ่น และฝิ่น เป็นต้น


สถานการณ์ทั่วไป : ในการพยายามการรวมดินแดนให้เป็นของประเทศพม่า “Burmanize” รัฐบาลทหารได้ทำลายพระราชวังของไทยใหญ่ในเมืองเชียงตุงและอีกหลายเมือง และเข้ามาจัดการศึกษาเกี่ยวกับพม่าให้แก่เด็กในพื้นที่ รัฐบาลทหารพม่าได้บังคับให้ประชาชนกว่า 3 แสนคนย้ายที่อยู่ ประชาชนมักถูกเกณฑ์ไปบังคับใช้แรงงาน ทั้งโครงการก่อสร้างและเป็นลูกหาบอาวุธให้ทหาร ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากหนีเข้ามายังประเทศไทย


วันศุกร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

ไทใหญ่ หรือ ฉาน


ไทใหญ่ หรือ ฉาน คือกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาไท-กะได ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่อันดับสองของพม่า ส่วนมากอาศัยในรัฐฉาน ประเทศพม่าและบางส่วนอาศัยอยู่บริเวณดอยไตแลง ชายแดนประเทศไทย-ประเทศพม่า คนไทใหญ่ในประเทศพม่ามีประมาณ 3 หรือ 4 ล้านคน แต่มีไทใหญ่หลายแสนคน ที่ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยเพืี่อหนีปัญหาทางการเมืองและการหางาน ตามภาษาของเขาเองจะเรียกตัวเอง ไต๊ หรือ ไต (ตามสำเนียงไทย) พี่น้องไต๊ในพม่ามีหลายกลุ่ม เช่น ไต๊คืน ไต๊แลง ไต๊คัมตี ไต๊ลื้อ และ ไต๊เมา แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ ไต๊โหลง ไต๊ = ไทย และ โหลง(หลวง) = ใหญ่ ซึ่งคนไทยเรียก ไทยใหญ่ เหตุฉะนั้นจะเห็นได้ว่าภาษาไต๊ และภาษาไทยคล้ายกันบ้างแต่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีคำเรียกไทใหญ่อีกอย่างว่า เงี้ยว แต่เป็นคำที่ไม่สุภาพในการเอ่ยถึงชาวไทใหญ่

ลักษณะภูมิประเทศของรัฐฉานเต็มไปด้วยภูเขาสูงและผืนป่า รัฐฉานจึงเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า สินค้าส่งออกที่สำคัญของรัฐฉานจึงเป็นจำพวกแร่ธาตุและไม้ชนิดต่างๆ ปัจจุบันรัฐฉานเป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่า มีชายแดนติดกับประเทศไทยด้านตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ

รัฐฉาน ในอดีตกาลมีชื่อเรียกว่า “ไต” หรือที่เรียกกันว่า เมืองไต มีประชากรหลายชนชาติและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยมีชนชาติไทยใหญ่อาศัยอยู่มากที่สุด เมืองไตเคยมีเอกราชในการปกครองตนเองมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่อังกฤษจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมืองไตกับพม่าในอดีตนั้นจัดเป็นอิสระต่อกัน หรือกล่าวได้ว่าเป็นคนละอาณาจักรกัน เหมือนดั่งอาณาจักรอยุธยากับอาณาจักรเขมร

อาณาเขตของเมืองไตประกอบด้วยเมืองรวมทั้งหมด 33 เมืองแต่ละเมือง ปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้าสืบต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต และถึงแม้จะมีเจ้าฟ้าปกครองหลายเมือง แต่ทุกเมืองก็รวมกันเป็นแผ่นดินชนชาติไต เนื่องมาจากที่ตั้งของเมืองไตอยู่ใกล้กับประเทศพม่า

เมืองไตกับประเทศพม่ามีการติดต่อค้าขายช่วยเหลือ และให้ความเคารพซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เห็นได้จากในช่วงที่เจ้าฟ้าเมืองไตปกครองประเทศพม่าประมาณเกือบ 300 ปีไม่เคยมีการสู้รบกันเกิดขึ้น และยังมีการติดต่อค้าขายยังดำเนินไปอย่างสันติสุขเช่นกัน จนกระทั่งมาถึงสมัยบุเรงนอง ได้มีการสู้รบกันกับเจ้าฟ้าเมืองไตกับกษัตริย์พม่าเกิดขึ้น โดยฝ่ายเจ้าฟ้าเมืองไตเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงทำให้ราชวงศ์เจ้าฟ้าบางเมือง ต้องจบสิ้นไปดังเช่นราชวงศ์เจ้าฟ้าเมืองนายซึ่งเป็นราชวงศ์ของกษัตริย์มังราย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายราชวงศ์ที่ต้องสูญสิ้น ไปเพราะการสู้รบกับบุเรงนอง

จนมาถึงในสมัยพระเจ้าอลองพญา (พ.ศ. 2305 – 2428) ซึ่งเป็นสมัยที่อยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า กษัตริย์พม่าได้ทำการปราบปรามราชวงศ์ หรือผู้สืบเชื้อสายของเจ้าฟ้าไทใหญ่จนหมดสิ้นไปเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่าไตได้เป็นเมืองขึ้นของพม่าไปแล้ว และในช่วงเวลานี้ทหารพม่าได้เริ่มการกดขี่ข่มเหงทำร้ายคนไต ทำให้คนไตรู้สึกเกลียดชังคนพม่านับตั้งแต่นั้น

เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2428 อังกฤษได้ทำการจับกุมและยึดอำนาจกษัตริย์พม่า และขยายอาณาเขตไปยังเมืองเชียงตุงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไตในปีเป็นเมืองขึ้น พ.ศ. 2433 และได้ประกาศว่า"อังกฤษได้ยึดเอาเมืองไตเรียบร้อยแล้ว"

เนื่องจากประเทศพม่าซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มและเมืองไต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาไม่ใช่ประเทศเดียวกัน อังกฤษจึงไม่ได้ทำการเข้ายึดพร้อมกันและถึงแม้อังกฤษ จะยึดทั้งสองเมืองเป็นเมืองขึ้นของต้นแต่อังกฤษก็ไม่ได้ปกครองทั้งสองเมืองในลักษณะเดียวกัน หากแบ่งการปกครองออกเป็นสองลักษณะ คือประเทศพม่าเป็นเมืองใต้อาณานิคม ส่วนเมืองไตเป็นเมืองใต้การอารักขา

และอังกฤษยัง ได้ทำการจับกุมกษัตริย์พม่าและกำจัดราชวงศ์ทั้งหมดของกษัตริย์พม่า ส่วนเมืองไตอังกฤษไม่ได้ทำลายราชวงศ์เจ้าฟ้า อีกทั้งยังสนับสนุนให้เจ้าฟ้าแต่ละเมือง มีอำนาจปกครองบ้านเมืองของตนเอง และได้สถาปนาให้เมืองทั้งหมดเป็นสหพันธรัฐฉานขึ้นกับอังกฤษ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของพม่าแต่อย่างใด

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการพม่าพยายามโน้มน้าวเหล่าบรรดาเจ้าฟ้าไต ให้เข้าร่วมเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ เจ้าฟ้าไตจึงได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาปางโหลง เมื่อปี พ.ศ. 2490 กับชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อขอเอกราชจากอังกฤษ โดยสัญญาดังกล่าวได้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุให้ชนชาติที่ร่วมลงนามในสัญญา สามารถแยกตัวเป็นอิสระได้หลังจากอยู่ร่วมกันครบสิบปี

แต่เมื่ออังกฤษได้ให้เอกราชกับพม่าและไตแล้ว รัฐบาลกลางพม่าไม่ยอมทำตามสัญญา และพยายามการรวมดินแดนให้เป็นของประเทศพม่า เหตุนี้จึงทำให้ชาวไตหรือไทยใหญ่ จึงก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติของตนเองขึ้นในปี พ.ศ. 2491

ทางรัฐบาลทหารพม่าได้ใช้ระบอบเผด็จการทหารกับชาวไต อีกทั้งยังได้ทำลายพระราชวังของไทยใหญ่ ในเมืองเชียงตุงและอีกหลายเมือง และเข้ามาจัดการศึกษาเกี่ยวกับพม่าให้แก่เด็กในพื้นที่ รัฐบาลทหารพม่าได้บังคับให้ประชาชนกว่า 3 แสนคนย้ายที่อยู่ ประชาชนมักถูกเกณฑ์ไปบังคับใช้แรงงาน ทั้งโครงการก่อสร้างและเป็นลูกหาบอาวุธให้ทหาร ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากหนีเข้ามายังประเทศไทย

ปัจจุบันสถานการณ์ภายในรัฐฉานก็ยังไม่มีเสถียรภาพทางความมั่นคงเท่าใดนัก และก็ยังมีกองกำลังกู้ชาติของตนเองอยู่ หากในช่วงที่ไม่มีการปะทะกับฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า รัฐฉานก็จะมีความเงียบสงบซึ่ง เป็นพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของ ชาวไตหรือไทใหญ่ และพวกเขายังหวังลึกๆว่าสักวันหนึ่งรัฐฉานจะได้เป็นเอกราชของตนเอง ไม่ขึ้นกับทางพม่าอีกต่อไป


วันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๑

ประวัติชนกลุ่มน้อยไทยใหญ่

ประวัติชนกลุ่มน้อยไทยใหญ่

ไทยใหญ่และถิ่นที่อยู่
ไทใหญ่คือใคร

คำว่า “ ไทใหญ่ ” เป็นชื่อที่คนไทยคุ้นเคยมานาน ควบคู่กับคำที่คนไทยมักขนาม นามตนเองว่า “ไทยน้อย” แต่นอกเหนือจากคนไทยในประเทศไทยแล้วไม่มีคน รู้จักคำว่า ไทใหญ่ ชาวไทใหญ่เรียกตนเองว่า “ไท” (ออกเสียงว่า ไต ) เช่นเดียว กับคนไทยเราเรียกตนเองว่า “ ไทย” ไทที่เรียกตนเองว่า “ ไท ” หรือ “ ไต “ นั้นมีมาก และจะจำแนกกลุ่มด้วยการเพิ่มคำขยายเช่น ไทดำ ไทแดง ไทขาว ไทใต้ ไทเหนือ เป็นต้น ชาวไทยเรียกตนเองว่า “ ไทย “ แต่ชนชาติอื่นจะเรียกชื่อเราว่า เสียม เซียมหรือสยาม เป็นต้น และเรียกประเทศเราว่าสยาม ชาวไทใหญ่ก็เช่นเดียวกันมีชื่อที่ชนชาติอื่นเรียกแตกต่างกันไป เช่น พม่าเรียกว่า “ ชาน” หรือ “ ฉาน “ ซึ่งเป็นต้นเค้าให้ชาวตะวันตกเรียกคนไทใหญ่ในเวลาต่อมา ในขณะที่ชาว คะฉิ่นหรือจิ่งโพเรียกว่า “อะซาม” ชาวอาชาง ชาวปะหล่อง และชาวว้าเรียกว่า “เซียม” คำทั้งหมดนี้มาจากรากเหง้าของคำเดิมคือ “สยาม” สาม หรือ “ซาม” ทั้งสิ้น

ชาวจีนฮั่นมีวิธีเรียกชาวไทใหญ่ที่แตกต่างออกไป คือ ใช้คำที่แสดงลักษณะของชนชาติมาขนามนาม เช่น เรียกว่า พวกเสื้อขาว (ป๋ายยี) พวกฟันทอง( จินฉื่อ ) พวกฟันเงิน (หยินฉื่อ ) พวกฟันดำ ( เฮยฉื่อ ) และยังมีชื่ออื่นๆ เช่น เหลียว หลาว หมางหมาน พวกเยว่ร้อยเผ่า และหยี เป็นต้น จีนจะมีการเรียกชื่อชาวไทเปลี่ยน แปลงไปตามระยะเวลาทางประวัติศาสตร์

ในกลุ่มของไทใหญ่เองก็มีชื่อเรียกออก เป็นกลุ่มย่อยๆ ได้อีกหลายกลุ่มตามถิ่นที่อยู่ เช่น ชาวไทใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพม่า มักเรียกชาวไทใหญ่ที่อยู่ในเขตประเทศจีนว่าเป็นไทแข่หรือไทจีน ด้วยพวกเขาสามารถพูดภาษาจีนได้และรับเอาอิทธิพลวัฒนธรรมจีนหลายอย่างตั้งแต่ภาษา วิธีการกิน อาหารด้วยตะเกียบ การตั้งบ้านเรือนแบบติดพื้นและขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น ในขณะที่ชาวไทใหญ่ในจีนมักจะเรียกตนเองว่าเป็นไทเหนือด้วยถือว่าตน อยู่ทางเหนือของแม่น้ำคง(สาขาของแม่น้ำสาละวิน) และจะเรียกชาวไทใหญ่ในพม่า ว่าเป็นไทใต้

ความแตกต่างระหว่างไทเหนือ-ไทใต้
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดระหว่างไทเหนือกับไทใต้นอกจากภาษาและวัฒนธรรมหลายอย่างที่ได้รับอิทธิพลจากจีนคือเครื่องแต่งกายของผู้หญิงที่มี ลักษณะแตกต่างในแง่ของสีสัน รูปทรง และความหนาบางของเนื้อผ้า ชาวไทใต้ไม่ นิยมโพกผ้านัก ในขณะที่ชาวไทเหนือโพกผ้าด้วยสีขาวหรือสีดำหรือใช้หมวกทรง กระบอกสีดำ สูงราว 4-6 นิ้ว หากเป็นหญิงสาวไม่แต่งงานชาวไทเหนือมักนุ่ง กางเกงสีดำ และถักผมคาดรอบศรีษะ ประดับด้วยดอกไม้ แต่สาวชาวไทมาว หรือไทใต้นุ่งซิ่น ไม่คาดผมนอกจากนี้ ยังมีวิธีเรียกชื่อออกเป็นกลุ่มตามชื่อเมือง เช่น ชาวไทใหญ่เมืองมาวจะถูกเรียกว่าเป็นชาวไทมาว หากเป็นเมืองอื่นๆ จะเรียกว่าเป็น ไทเมืองวันไทเมืองขอน ไทเมืองหล้า เป็นต้น

แต่ก็มีบางเมืองที่ไม่ใช่คนไทใหญ่ แต่ก็ได้รับเรียกชื่อว่าเป็นคนไทใหญ่ด้วยเช่นเดียวกันเพราะได้ติดต่อกับคนไทมานานจนพูดภาษาไทใหญ่ได้และรับอิทธิพลพุทธศาสนาเช่นเดียวกับคนไทใหญ่ เช่น ไทเมืองสา ซึ่งเป็นชาวอาชางชาวไทใหญ่จะเรียกว่า ไทสาหรือไทดอยหมาย ถึงชาวตะอางหรือเต๋ออ๋าง เป็นต้น ชาวจีนฮั่นมักเรียกชาวไทเหนือว่าเป็นไทนา หรือไทบก ซึ่งจะตรงข้ามกับไทยน้ำ(สุยไต่ ) ซึ่งหมายถึงชาวไทใหญ่ในพม่า ( บางครั้งก็หมายถึงชาวไทลื้อด้วย ) และเรียกชาวไทเขตหลินซาง กึ๋งม้า เมืองติ่ง ว่าเป็นพวกไทป่อง ในภาคเหนือของพม่า ยังมีชาวไทคำตี่ ที่ยังคงใช้ช้างไถนา ส่วนในรัฐอัสสัมมีชาวไทอาหม ไทพ่าเก ไทคำยัง ไทโนรา ไทอ่ายตอน ไทตุรุง เป็นต้น ชาวไทเหล่านี้สามารถจัดอยู่ในกลุ่มชาวไทใหญ่ ด้วยภาษาและวัฒนธรรม ใกล้เคียงกันมากชาวไทใหญ่ส่วนมากทั้งในประเทศพม่า อินเดีย จีน และไทยนับถือพุทธศาสนามีอักษรเพื่อบันทึกเรื่องราวทางพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นคัมภีร์พุทธศาสนาชาดก นิทาน ฯลฯ เรามักเรียกอักษรเหล่านี้ว่าอักษรไทใหญ่ แต่ชาวไทใหญ่มีชื่อเรียกอักษรของเขาเองแตกต่างออกไป คือ หากเป็นอักษรไทใหญ่ที่ใช้ในเขตจังหวัดใต้คง เป่าซาน หลินซาง และซือเหมา จะเรียกว่า ตัวถั่วงอก หรือลิ่กถั่วงอก ด้วยรูปร่างของตัวอักษรที่เขียนด้วยก้านผักกูดหรือพู่กันจีนมีลักษณะยาว สูง ในขณะที่หากเป็นอักษรไทใหญ่ที่ใช้ในพม่าจะเรียกว่า ตัวมน หรือ ตัวไทป่อง ด้วยมีรูปร่างกลมเช่นอักษรพม่า อักษรไทใหญ่จะมีรูปร่างต่างกันไปอีก กลายเป็น อักษรอาหม อักษรไทพ่าเกและอักษรไทคำคี่ เป็นต้น แต่ลักษณะพื้นฐานส่วนใหญ่จะหมือนกันคือ มีจำนวนพยัญชนะ และสระใกล้เคียงกัน และไม่มีเครื่องหมายวรรณยุกต์มาแต่เดิม หากมีแต่การเพิ่มเติมรูปพยัญชนะและวรรณยุกต์ภายหลัง พยัญชนะส่วนใหญ่มีเพียง 16 – 19 รูป และรูปวรรณยุกต์ 4 -5 รูป

ถิ่นที่อยู่ปัจจุบันของชาวไทใหญ่
ปัจจุบันชาวไทใหญ่มีถิ่นฐานอยู่ในประเทศต่างๆ หลายประเทศ ได้แก่
- ประเทศพม่า ชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ในเขตรัฐไทใหญ่ (รัฐฉานหรือรัฐชาน )ใน ภาคเหนือของประเทศพม่า มีเมืองต่างๆ ที่เป็นเมืองของชาวไทใหญ่มาแต่โบ ราณอันได้แก่ เมืองแสนหวี สีป้อ น้ำคำ หมู่เจ เมืองนาย เมืองปั่น เมืองยองห้วย เมืองต่องจี เมืองกาเล เมืองยาง เมืองมีด และเมืองอื่นๆ อีกมากมาย
- ประเทศจีน ชาวไทใหญ่จำนวนมากอาศัยอยู่ในเขตภาคตะวันตกเฉียงใต้ของมณ ฑลยูนานอันมีเมืองมาว เมืองวัน เมืองหล้า เมืองตี เมืองขอน เจฝาง เมืองแลง เมืองฮึม เมืองยาง เมืองกึ๋งม้า เมืองติ่ง เมืองแข็งหรือเมืองแสง เมืองบ่อ หรือ เมืองเชียง หรือเมืองเชียงกู่ เมืองเมือง เป็นต้น
- ประเทศไทย มีชาวไทใหญ่อพยพเข้ามาทำมาหากินในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เพิ่งอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานได้ไม่มากนัก
- ประเทศอินเดีย ในรัฐอัสสัม มีชาวไทใหญ่ที่อพยพจากประเทศพม่าเข้าไปตั้ง รกรากทำมาหากินเป็นระยะเวลามากกว่า 600 ปีขี้นไป
- ประเทศลาว ในภาคเหนือก็มีชาวไทใหญ่ที่เรียกตนเองว่าไทเหนืออาศัยอยู่จำ นวนหนึ่งด้วยเช่นเดียวกันจะเห็นได้ว่าปัจจุบันชาวไทใหญ่มีถิ่นที่อยู่อาศัยกระจาย เป็นอาณาบริเวณกว้างขวางตั้งแต่บริเวณรัฐอัสสัมของอินเดียทางตอนเหนือของ พม่า ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ทางเหนือของไทยและลาว เขตนี้อาจถือได้ว่าเป็นเขตตะเข็บชายแดนของอำนาจรัฐหรืออาณาจักรใหญ่มาแต่เดิมไม่ว่า จะเป็น อาณาจักรปยู อาณาจักรจีน อาณาจักรเวียดนาม อาณาจักรมอญ และแม้ในปัจจุบันก็ยังถือได้ว่าเป็นเมืองชายขอบชายแดนของอินเดีย พม่า จีน และ ลาว ด้วยเหตุที่ว่าเขตนี้เป็นพื้นที่เขตป่าใหญ่เขาสูง ทุ่งราบแคบและไม่มีทางออกทะเล

ชาวไทใหญ่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ ตามหุบเขา แต่ละหุบเขามักจะตั้ง ชื่อเป็นชุมชนระดับหมู่บ้าน หากเป็นที่ราบในหุบเขาที่กว้างใหญ่ก็อาจมีชุมชน ขนาดใหญ่ที่ก่อตั้งเป็นเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ม่าน หรือ ว่าน ( บ้าน ) มีขนาดตั้งแต่ 20 หลังคาเรือน และมีขนาดใหญ่จนถึงขนาด 700 – 1000 หลังคาเรือน เมืองมักจะตั้งอยู่ในบริเวณที่มีหมู่บ้านหลายๆหมู่บ้านอยู่ใกล้ เคียงกันและด้านหลังของเมืองมักจะเป็นเชิงเขาหันหน้าเข้าสู่ทุ่งนา ชีวิตของไท ใหญ่ผูกพันอยู่กับทุ่งนา ปลูกข้าว ปลูกผัก ถั่ว ใบยาสูบ แตงโมและพืชล้มลุกอื่นๆ ชีวิตถูกกำหนดด้วยฤดูกาล ที่จะเป็นตัวกำหนดวิถีชีวิตการทำงาน การประกอบ พิธีกรรม และประเพณีทางศาสนาต่างๆ ตลอดปี เมืองไทใหญ่แต่ละเมืองเดิมมา นั้นมักจะมีต้นเสื้อเมือง อันเป็นต้นไม้ใหญ่ประจำเมือง อาจอยู่ห่างเมืองออกไป แต่ไม่ไกลนัก ทุกปีจะมีการไหว้เสื้อเมืองโดยมีเจ้าฟ้าขุนนางอำมาตย์ต่างๆ และ ปู่กั้ง ปู่เหง ปู่สึ่ง และปู่กาบ ของทุกเขตทุกกั้งและทุกหมู่บ้าบมาร่วมพิธีหมู่บ้าน ทุกแห่งจะมีเสื้อบ้านและหอเสื้อบ้านเพื่อให้ชาวบ้านทุกคนมาประกอบพิธีกรรมเพื่อ ความเป็นสวัสดิมงคลของหมู่บ้าน และเพื่อความอยู่ดีกินดี พืชพันธุ์เจริญงอกงาม วัวควาย สัตว์เลี้ยงทั้งหลายเติบโต ปราศจากโรคภัย

จากสภาพทางภูมิศาสตร์ ถิ่นที่อยู่ และความเชื่อประเพณี พิธีกรรมที่ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนา และความเชื่อเรื่องผีสางนางฟ้า ทำให้ชีวิตของชาวไทใหญ่ดูไม่แตกต่างจากชาว ไทลื้อ ไทยวน ลาว ไทดำ ไทขาว และไทกลุ่มอื่นๆ มากนัก ภูเขาสูง แม่น้ำกว้างใหญ่ เช่น แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำโขง อันเป็นแม่น้ำใหญ่สามสายในเขต ชุมชนชาวไทใหญ่ไม่ได้เป็นเครื่องกีดขวางการติดต่อไปมาหาสู่กันระหว่างชาว ไทใหญ่และชาวไทกลุ่มอื่น ขณะเดียวกันชาวไทใหญ่ก็ติดต่อกับกลุ่มชาติพันธ์กลุ่ม อื่นๆ ในบริเวณเดียวกันและในดินแดนที่ห่างออกไปด้วย ในเขตภูเขาสูงมักมีชนเผ่า คะฉิ่นที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ขาง อาศัยอยู่ ในระดับสูงที่ไม่สูงมากนักมีพวกอาซาง เต๋ออ๋างและปะหล่อง ที่ชาวไทใหญ่เรียกว่า ไทสา และไทดอย( ออกเสียงว่า ไตลอย หรือ ไตหลอย ) นอกจากนี้ยังมีชาวจีนฮั่นหรือชาวจีนที่อพยพมาอยู่ตามเชิงเขาทำ ไร่ทำนาภูเขา ชาวฮั่นกลุ่มนี้ไม่กล้าอาศัยอยู่บนพื้นที่ราบลุ่มหรือในทุ่งนาเหมือน คนไทใหญ่ไทใหญ่สำหรับคนฮั่นแล้วถือว่าเป็นเขตไข้ป่ามาลาเรียที่รุนแรง มากแม้การเดินผ่านทุ่งนากลางวัน ก็ยังนับว่าเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวง ถึงชีวิตเลยทีเดียวฉะนั้นในเขตนี้ ชาวฮั่นส่วนมากจึงอาศัยอยู่แต่ในเขตภูเขาเท่านั้น หลังการปฏิวัติในประเทศจีน เริ่มมีชาวคะฉิ่นอพยพลงมาอยู่ในที่ราบและทำนากัน มากขึ้น

ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ชาวไทใหญ่ได้ติดต่อสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ มากมาย ได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในเชิงของการเป็นผู้ให้ และในขณะเดียวกัน ก็เป็นผู้รับด้วย วัฒนธรรมไทใหญ่แม้จะดูเหมือนว่าเป็นวัฒนธรรมของคนใน หุบเขาห่างไกล ดูเหมือนว่าอยู่กันโดดเดี่ยว แต่แท้จริงแล้ว ได้ติดต่อสัมพันธ กับชนต่างกลุ่มมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นชนกลุ่มใหญ่กลุ่มน้อยที่มีอำนาจรัฐ ก่อร่างสร้างเป็นอาณาจักร เช่น ปยู ( ผิ่ว หรือ เผี่ยว ) พม่า (ไทใหญ่เรียกพม่าว่า ม่าน )ป่าย หยี ฮั่น ( ชาวไทใหญ่เรียกชาวจีนฮั่นว่า เข่ หรือ แข่ )และการรับเอา วัฒนธรรมอินเดียและจีนผ่านอาณาจักรใหญ่ ตลอดจนการติดต่อสัมพันธ์กับชน กลุ่มน้อยอื่นๆ ในรูปของการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้าเครื่องใช้จำเป็นอาหารการ กินและอื่นๆ เป็นต้นกลุ่มไทใหญ่นับเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีจำนวนมากเป็นที่สองรอง จากชาวพม่าเขตบริเวณที่อยู่อาศัยได้แก่ที่ราบสูงฉาน ( Shan Plateau ) จากหลัก ฐานต่างๆที่นักประวัติศาสตร์ได้พบค้นพบ เชื่อว่าชาวไทยใหญ่อพยพมาจากบริเวณ ตอนใต้ของประเทศจีนในปัจจุบันเมื่อประมาณศตวรรณที่ 7 โดยบางกลุ่มก็อาศัย อยู่ในบริเวณที่ราบร่วมกับชาวพม่าและชาวมอญ ในขณะที่บางพวกแยกตัวขึ้นไป อยู่ในบริเวณที่ราบสูงและได้แบ่งแยกดินแดนออกเป็น 33 แคว้น แต่ละแคว้นมี เจ้าฟ้า ( Sawbwa ) ปกครองโดยการสืบสันตติวงศ์ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐฉาน กับราชสำนักพม่าเป็นไปอย่างหลวมๆบางยุคสมัยอาณาจักรไทยใหญ่ก็จะแยก ตัวเป็นอิสระ แต่ในบางยุคเมื่อพม่ามีความเข้มแข็งก็จะผนวกรัฐฉานเข้ามาอยู่ใน อำนาจ แต่ราชสำนักก็จะปล่อยให้บรรดาเจ้าฟ้าปกครองแว่นแคว้นของตนเอง และจะส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาประจำราชสำนักของรัฐฉาน เพื่อทำหน้าที่ที่ปรึกษา พร้อมกันนี้ก็ยังได้ส่งนายพลซึ่งควบคุมกองทัพทหารพม่าจำนวนหนึ่งมาประจำการ ที่เมืองนาย (Mongnai) เพื่อทำหน้าที่ดูแลควบคุมความเป็นระเบียบเรียบร้อย และคอยปราบปรามเจ้าฟ้าที่ยังท้าทายอำนาจ

วันพุธที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑

รัฐฉานไทยใหญ่

ไทใหญ่ หรือ ฉาน (พม่า: ရ္ဟမ္‌းလူမ္ယုိး; IPA: [ʃán lùmjóʊ]; จีน: 掸族; พินอิน: dǎn zú) คือกลุ่มชาติพันธุ์ในตระกูลภาษาไท-กะได ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ขนาดใหญ่อันดับสองของพม่า ส่วนมากอาศัยในรัฐฉาน ประเทศพม่าและบางส่วนอาศัยอยู่บริเวณดอยไตแลง ชายแดนประเทศไทย-ประเทศพม่า คนไทใหญ่ในประเทศพม่ามีประมาณ 3 หรือ 4 ล้านคน แต่มีไทใหญ่หลายแสนคน ที่ได้อพยพเข้าสู่ประเทศไทยเพืี่อหนีปัญหาทางการเมืองและการหางาน ตามภาษาของเขาเองจะเรียกตัวเอง ไต๊ หรือ ไต (ตามสำเนียงไทย) พี่น้องไต๊ในพม่ามีหลายกลุ่ม เช่น ไต๊คืน ไต๊แลง ไต๊คัมตี ไต๊ลื้อ และ ไต๊เมา แต่กลุ่มใหญ่ที่สุดคือ ไต๊โหลง ไต๊ = ไทย และ โหลง(หลวง) = ใหญ่ ซึ่งคนไทยเรียก ไทยใหญ่ เหตุฉะนั้นจะเห็นได้ว่าภาษาไต๊ และภาษาไทยคล้ายกันบ้างแต่ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ยังมีคำเรียกไทใหญ่อีกอย่างว่า เงี้ยว แต่เป็นคำที่ไม่สุภาพในการเอ่ยถึงชาวไทใหญ่
ฉาน หรือ รัฐฉาน แดนดินถิ่นพุทธศาสนา พรั่งพร้อมด้วยศิลปวัฒนธรรมอันงดงามที่สืบเนื่องมาแต่โบราณกาล

ลักษณะภูมิประเทศของรัฐฉานเต็มไปด้วยภูเขาสูงและผืนป่า รัฐฉานจึงเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่า สินค้าส่งออกที่สำคัญของรัฐฉานจึงเป็นจำพวกแร่ธาตุและไม้ชนิดต่างๆ ปัจจุบันรัฐฉานเป็นส่วนหนึ่งของประเทศพม่า มีชายแดนติดกับประเทศไทยด้านตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐ

รัฐฉาน ในอดีตกาลมีชื่อเรียกว่า “ไต” หรือที่เรียกกันว่า เมืองไต มีประชากรหลายชนชาติและอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยมีชนชาติไทยใหญ่อาศัยอยู่มากที่สุด เมืองไตเคยมีเอกราชในการปกครองตนเองมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่อังกฤษจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเมืองไตกับพม่าในอดีตนั้นจัดเป็นอิสระต่อกัน หรือกล่าวได้ว่าเป็นคนละอาณาจักรกัน เหมือนดั่งอาณาจักรอยุธยากับอาณาจักรเขมร

อาณาเขตของเมืองไตประกอบด้วยเมืองรวมทั้งหมด 33 เมืองแต่ละเมือง ปกครองด้วยระบบเจ้าฟ้าสืบต่อเนื่องกันมาตั้งแต่อดีต และถึงแม้จะมีเจ้าฟ้าปกครองหลายเมือง แต่ทุกเมืองก็รวมกันเป็นแผ่นดินชนชาติไต เนื่องมาจากที่ตั้งของเมืองไตอยู่ใกล้กับประเทศพม่า

เหลอแท่มเหลินเหลียว ก้อแต๋ ถึงปอยออกหว่า เหย้าปี้น้องไตข้า ข้าอยู่ตังไน้ ใจ่ถึงหา หว่าน หาจอง หน่าเฮา
เมิงแหง ปอ ออกหว่าเหย้าแต๋มีปอยจ๊าดหนำหน่า เนอะข้า จึ้ง ปอยออกหว่า ปอยสัมต่อโหลง ปอยหลู่เข้าหมั่ย ปอยหลู่จองพารา ข้าอยู่ตังภาคตรั้ย ข้าก้อใจ๋ถึงหาปี้น้องไตเฮาข้า ข้าไค่ปั้นปี้น้องไตเฮาข้า เต๋กว่าลืมจ๊าดเจื้อ เฮาข้า คนไต ปออยู่ก่าใล้ เต๋ไป่ลืมกวามไต หน่า อยู่หลีกิ๋นหวานเจม ปี้น้องไตเฮาข้า กู้ตี้กู้ตาง
ส่างกานต์ เมิงแหง แวงกนไต


เมืองไตกับประเทศพม่ามีการติดต่อค้าขายช่วยเหลือ และให้ความเคารพซึ่งกันและกันมาโดยตลอด เห็นได้จากในช่วงที่เจ้าฟ้าเมืองไตปกครองประเทศพม่าประมาณเกือบ 300 ปีไม่เคยมีการสู้รบกันเกิดขึ้น และยังมีการติดต่อค้าขายยังดำเนินไปอย่างสันติสุขเช่นกัน จนกระทั่งมาถึงสมัยบุเรงนอง ได้มีการสู้รบกันกับเจ้าฟ้าเมืองไตกับกษัตริย์พม่าเกิดขึ้น โดยฝ่ายเจ้าฟ้าเมืองไตเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ จึงทำให้ราชวงศ์เจ้าฟ้าบางเมือง ต้องจบสิ้นไปดังเช่นราชวงศ์เจ้าฟ้าเมืองนายซึ่งเป็นราชวงศ์ของกษัตริย์มังราย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายราชวงศ์ที่ต้องสูญสิ้น ไปเพราะการสู้รบกับบุเรงนอง

จนมาถึงในสมัยอลองพญา(พ.ศ. 2305–2428) ซึ่งเป็นสมัยที่อยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า กษัตริย์พม่าได้ทำการปราบปรามราชวงศ์ หรือผู้สืบเชื้อสายของเจ้าฟ้าไทยใหญ่จนหมดสิ้นไปเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่าไตได้เป็นเมืองขึ้นของพม่าไปแล้ว และในช่วงเวลานี้ทหารพม่าได้เริ่มการกดขี่ข่มเหงทำร้ายคนไต ทำให้คนไตรู้สึกเกลียดชังคนพม่านับตั้งแต่นั้น พ.ศ. 2428 อังกฤษได้ทำการจับกุมและยึดอำนาจกษัตริย์พม่า ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2428 และขยายอาณาเขต ไปยังเมืองเชียงตุงทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไตในปีเป็นเมืองขึ้น พ.ศ. 2433 และเพิ่งประกาศว่า"อังกฤษได้ยึดเอาเมืองไตเรียบร้อยแล้ว"

เนื่องจากประเทศพม่าซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่มและเมืองไต ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาไม่ใช่ประเทศเดียวกัน อังกฤษจึงไม่ได้ทำการเข้ายึดพร้อมกันและถึงแม้อังกฤษ จะยึดทั้งสองเมืองเป็นเมืองขึ้นของต้นแต่อังกฤษก็ไม่ได ้ปกครองทั้งสองเมืองในลักษณะเดียวกัน หากแบ่งการปกครองออกเป็นสองลักษณะ คือประเทศพม่าเป็นเมืองใต้อาณานิคม ส่วนเมืองไตเป็นเมืองใต้การอารักขา

และอังกฤษยัง ได้ทำการจับกุมกษัตริย์พม่าและกำจัดราชวงศ์ทั้งหมดของกษัตริย์พม่า ส่วนเมืองไตอังกฤษไม่ได้ทำลายราชวงศ์เจ้าฟ้า อีกทั้งยังสนับสนุนให้เจ้าฟ้าแต่ละเมือง มีอำนาจปกครองบ้านเมืองของตนเอง และได้สถาปนาให้เมืองทั้งหมดเป็นสหพันธรัฐฉานขึ้นกับอังกฤษ มิได้เป็นส่วนหนึ่งของพม่าแต่อย่างใด

ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางการพม่าพยายามโน้มน้าวเหล่าบรรดาเจ้าฟ้าไต ให้เข้าร่วมเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ เจ้าฟ้าไตจึงได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาปางโหลง เมื่อปี พ.ศ. 2490 กับชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อขอเอกราชจากอังกฤษ โดยสัญญาดังกล่าวได้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งระบุให้ชนชาติที่ร่วมลงนามในสัญญา สามารถแยกตัวเป็นอิสระได้หลังจากอยู่ร่วมกันครบสิบปี

แต่เมื่ออังกฤษได้ให้เอกราชกับพม่าและไตแล้ว รัฐบาลกลางพม่าไม่ยอมทำตามสัญญา และพยายามการรวมดินแดนให้เป็นของประเทศพม่า เหตุนี้จึงทำให้ชาวไตหรือไทยใหญ่ จึงก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติของตนเองขึ้นในปี พ.ศ. 2491

ทางรัฐบาลทหารพม่าได้ใช้ระบอบเผด็จการทหารกับชาวไต อีกทั้งยังได้ทำลายพระราชวังของไทยใหญ่ ในเมืองเชียงตุงและอีกหลายเมือง และเข้ามาจัดการศึกษาเกี่ยวกับพม่าให้แก่เด็กในพื้นที่ รัฐบาลทหารพม่าได้บังคับให้ประชาชนกว่า 3 แสนคนย้ายที่อยู่ ประชาชนมักถูกเกณฑ์ไปบังคับใช้แรงงาน ทั้งโครงการก่อสร้างและเป็นลูกหาบอาวุธให้ทหาร ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากหนีเข้ามายังประเทศไทย

ปัจจุบันสถานการณ์ภายในรัฐฉานก็ยังไม่มีเสถียรภาพ ทางความมั่นคงเท่าใดนัก และก็ยังมีกองกำลังกู้ชาติของตนเองอยู่ หากในช่วงที่ไม่มีการปะทะกับฝ่ายรัฐบาลทหารพม่า รัฐฉานก็จะมีความเงียบสงบซึ่ง เป็นพื้นฐานความต้องการที่แท้จริงของ ชาวไตหรือไทยใหญ่ และพวกเขายังหวังลึกๆว่าสักวันหนึ่งรัฐฉานจะได้เป็นเอกราชของตนเอง ไม่ขึ้นกับทางพม่าอีกต่อไป