รัฐฉาน

เมืองหลวง: ตองยี
ประชากร :ประชากรมีประมาณ 8 ล้านคนเศษ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แบ่งออกเป็น 16 กลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายไทยใหญ่ รองลงมาเป็น ชนชาติปะหล่อง หรือ ตอาง ชนชาติปะโอ ชนชาติว้า ชนชาติคะฉิ่น ชนชาติทน ชนชาติอางซา ชนชาติลาหู่ หรือ มูเซอ ชนชาติอาข่า หรืออีก้อ ชนชาติโกก้าง ชนชาติปะต่องหรือคะยา ชนชาติลีซอ ชนชาติยางดำ ยางลาย และยางแดง ชนชาติต่องเลอ ชนชาติ
ภูมิประเทศ : อาณาเขตรวมทั้งหมด 62,500 ตารางไมล์ ด้านทิศเหนือติดกับรัฐคะฉิ่น ด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ติดกับประเทศจีน เขตเมืองยูนนาน ด้านตะวันออก ติดกับประเทศลาว ด้านตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับประเทศไทย ด้านทิศใต้ ติดกับรัฐคะยา ด้านทิศตะวันตก ติดกับเมืองมัณฑะเลย์ และเมืองสะแกง (ประเทศพม่า) รัฐฉานมีพื้นที่ที่กว้างขวางในทางตะวันออกเฉียงเหนือของพม่าและมีชายแดนติดกับประเทศจันและไทย มีแม่น้ำสาละวินไหลผ่านเป็นตามแนวยาวของรัฐจากชายแดนทางตอนเหนือที่ติดกับจีนและลงมายังที่ราบสูงของรัฐฉานไปยังรัฐคะยา รัฐฉานประกอบไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมีค่ามากมาย ทั้งทรัพยากรป่าไม้และทรัยากรแร่ธาตุ อาทิ ป่าไม้สัก, ไม้ตึง และไม้เปา แร่เงิน, แร่ตะกั่ว, แร่ทองคำ, แร่ทองแดง, แร่เหล็ก, แร่วุลแฟรม, แร่ดีบุก, แร่ทังสเตน, แร่แมงกานีส เป็นต้น
ประวัติศาสตร์ : ในอดีต ดินแดนรัฐฉานเคยมีเอกราชในการปกครองตนเองมาเป็นเวลาหลายพันปี ก่อนที่อังกฤษจะขยายอิทธิพลเข้ามาถึง บริเวณที่เรียกว่าประเทศพม่าในปัจจุบันนั้นไม่เคยเรียกว่าประเทศพม่ามาก่อน มีเพียงชื่อเรียกตามชื่อของเมืองหลวงของแต่ละยุคเท่านั้น อาทิเช่น ในยุคที่เมืองหงสาวดีเป็นเมืองหลวงก็เรียกชื่อว่า "กรุงหงสาวดี" พอมาถึงยุคที่มีเมืองอังวะเป็นเมืองหลวงก็เรียกว่า "กรุงอังวะ" ไม่เคยมีคำเรียกชื่อประเทศตามชื่อของชนชาติมาสักครั้งเดียว จนกระทั่งปี ค.ศ.1826 อังกฤษได้บุกเข้ายึดเอาเมืองติดทะเลซึ่งได้แก่ ตะนาวศรี, ยะไข่, อสัม, ปนิปุระ และได้ประกาศว่า "ได้ทำการยึดประเทศพม่าได้แล้ว" ด้วยเหตุนี้ชื่อ "ประเทศพม่า" จึงถูกใช้เรียกขานกันมาตั้งแต่บัดนั้น ต่อมา เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1885 อังกฤษได้ทำการจับกุมและยึดอำนาจกษัตริย์พม่า และในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1886 อังกฤษได้ประกาศว่า “สามารถยึดประเทศพม่าได้ทั้งหมดแล้ว” ซึ่งในเวลานั้นยังไม่มีคนของอังกฤษเข้ามาในเมืองไตยเลยสักคนเดียว อังกฤษเริ่มเดินทางมาถึง เมืองไตยในเดือนมกราคม ค.ศ. 1887 และขยายอาณาเขตไปยังเมืองเชียงตุง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองไตยในปี ค.ศ.1890 และเพิ่งประกาศว่า "อังกฤษได้ยึดเอาเมืองไตยเป็นเมืองขึ้นเรียบร้อยแล้ว" เนื่องจากประเทศพม่าซึ่งตั้งอยู่บริเวณที่ราบลุ่ม และเมืองไตยซึ่งตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาไม่ใช่ประเทศเดียวกัน อังกฤษจึงไม่ได้ทำการเข้ายึด พร้อมกัน และถึงแม้อังกฤษจะยึดทั้ง 2 เมืองเป็นเมืองขึ้นของต้น แต่อังกฤษก็ไม่ได้ปกครองทั้งสองเมืองในลักษณะเดียวกัน หากแบ่งการปกครอง ออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ประเทศพม่าเป็นเมืองใต้อาณานิคม (COLONY) ส่วนเมืองไตยเป็นเมืองใต้การอารักขา( Protative Country ) นอกจากนี้ อังกฤษยังได้ทำการจับกุมกษัตริย์พม่าและกำจัดราชวงศ์ทั้งหมดของกษัตรย์พม่าทิ้ง ส่วนเมืองไตยนั้น อังกฤษไม่ได้ทำลาย ราชวงศ์เจ้าฟ้า แต่ยังสนับสนุนให้เจ้าฟ้าแต่ละเมืองมีอำนาจปกครองบ้านเมืองของตนเอง โดยอังกฤษทำหน้าที่ให้คำปรึกษาด้านการ ปกครองบ้านเมือง ในสมัยที่อังกฤษเริ่มให้เจ้าฟ้าปกครองกันเองนั้น เมืองไตยมีทั้งหมด 44 เมือง และต่อมาได้ลดเหลือ 33 เมือง อังกฤษได้ทำการ ปกครองเมืองทั้งหมดด้วยระบบเดียวกัน และสถาปนาให้เมืองทั้งหมดเป็นสหพันธรัฐฉาน (Federal Shan State) หรือ เมืองไตย (ข้อมูลจาก www.muangtai.com)
เจ้าฟ้าไทยใหญ่ได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาปางโหลง (Panglong Agreement) เมื่อปี ค.ศ. 1947 กับชาวพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อขอเอกราชจากอังกฤษ โดยสัญญาดังกล่าวได้นำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญซึ่งระบุให้ชนชาติที่ร่วมลงนามในสัญญาสามารถแยกตัวเป็นอิสระได้หลังจากอยู่ร่วมกันครบสิบปี แต่เนื่องจากรัฐบาลกลางพม่าไม่ยอมทำตามสัญญา ชาวไทยใหญ่จึงก่อตั้งกองกำลังกู้ชาติของตนเองขึ้นในปี ค.ศ. 1948
สภาพเศรษฐกิจและสังคม : ป่าไม้ที่เป็นสินค้าออกจากประเทศที่สำคัญคือ ไม้สัก, ไม้สน, ไม้ตึง, ไม้เปา, ไม้แงะ. ไม้ตีต๊อก, ไม้จาน, และไม้หอมทุกชนิด ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมแบ่งออกเป็นทำนา ทำไร่ ทำสวน ส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณดอยสูง ส่วนใหญ่ทำไร่บริเวณเนินเขา เป็นระบบไร่หมุนเวียน เมื่อครบ 3 ปีจึงเวียนไปทำที่อื่นและย้อนกลับมาใหม่หลังจากดินได้รับการฟื้นฟู ส่วนใหญ่เป็นไร่ข้าว, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง(นำไปใช้ทำถั่วเน่า ซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวไทยใหญ่), งา,นุ่น และฝิ่น เป็นต้น
สถานการณ์ทั่วไป : ในการพยายามการรวมดินแดนให้เป็นของประเทศพม่า “Burmanize” รัฐบาลทหารได้ทำลายพระราชวังของไทยใหญ่ในเมืองเชียงตุงและอีกหลายเมือง และเข้ามาจัดการศึกษาเกี่ยวกับพม่าให้แก่เด็กในพื้นที่ รัฐบาลทหารพม่าได้บังคับให้ประชาชนกว่า 3 แสนคนย้ายที่อยู่ ประชาชนมักถูกเกณฑ์ไปบังคับใช้แรงงาน ทั้งโครงการก่อสร้างและเป็นลูกหาบอาวุธให้ทหาร ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากหนีเข้ามายังประเทศไทย
